ภาษีทรัมป์ป่วนการค้าโลก ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ถึง 1%

08 กันยายน 2568
ภาษีทรัมป์ป่วนการค้าโลก ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ถึง 1%

ภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกลดลงเพียงเล็กน้อย 0.3-0.4% ในปี 2025 และ 0.5-0.8% ในปี 2026 แม้จะมีผลทางเศรษฐกิจ ระยะยาวอาจชะลอลงทุนพลังงานสะอาด

การวิเคราะห์ของ Carbon Brief ระบุว่า ภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทั่วโลกลดลงเพียง 0.3% ในปีนี้

ขณะที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังถอยหลังการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ ผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น “one big beautiful bill” นักวิเคราะห์บางรายโต้แย้งว่าภาษีของเขาอาจลดคาร์บอนโดยไม่ตั้งใจ ด้วยการสอดแทรกสิ่งกีดขวางเข้าสู่กลไกเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ของ Carbon Brief ที่อิงจากการเปลี่ยนแปลงของประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่มีการประกาศภาษี แสดงให้เห็นว่าผลกระทบนี้มีแนวโน้มจำกัดมาก

มาตรการภาษีใหม่ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “วันปลดปล่อย” อาจทำให้การปล่อย CO2 ทั่วโลกลดลงเพียง 110–150 ล้านตัน (MtCO2) หรือ 0.3–0.4% ในปี 2025 และ 190–300 ล้านตัน (0.5–0.8%) ในปี 2026 ตามการวิเคราะห์

มาตรการภาษี “วันปลดปล่อย” ของทรัมป์รวมถึงการเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมด และ “ภาษีตอบโต้” เพิ่มเติมกับหลายประเทศที่เขากล่าวหาว่าโกงสหรัฐฯ การประกาศดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่ “ความปั่นป่วน” และกระทบต่ออุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม น้ำมัน และอื่น ๆ

แม้ในช่วงแรกทรัมป์ระบุว่า ไม่มีแผนหยุดภาษีเหล่านี้ แต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน เขาประกาศพักมาตรการเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 9 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงกำหนดไม่กี่วัน เขาประกาศขยายเวลาถึงวันที่ 1 สิงหาคม โดยระบุบน Truth Social ว่าประเทศต่าง ๆ จะได้รับ “จดหมายและ/หรือข้อตกลง” เกี่ยวกับภาษีในช่วงดังกล่าว เเละได้ลงนามในข้อตกลงภาษีกับสหภาพยุโรป และประเทศต่าง ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และอื่น ๆ

ข้อตกลงเหล่านี้ช่วยลดอัตราภาษีเมื่อเทียบกับสถานการณ์ “วันปลดปล่อย” และมักรวมถึงข้อยกเว้นต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ยุติความไม่แน่นอนด้านอัตราภาษี และยังทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 กดดันการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นับตั้งแต่กลับเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปี 2025 ทรัมป์ซึ่งมีจุดยืนไม่เชื่อเรื่องสภาพภูมิอากาศ ได้ย้อนนโยบายและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ล่าสุด “one big beautiful bill” ผ่านเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ทำให้สิ้นสุดนโยบายหลายประการของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เช่น กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ที่สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตเทคโนโลยีสะอาด และอื่น ๆ

เมื่อรวมกับนโยบายอื่น ๆ ของฝ่ายบริหารทรัมป์ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีแนวโน้มพลาดเป้าหมายการลดการปล่อยปี 2030 ไปมากถึง 7 พันล้านตัน CO2 ตามการวิเคราะห์ก่อนหน้าของ Carbon Brief

หลายฝ่ายเสนอว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของทรัมป์อาจ “โดยไม่ตั้งใจ” นำไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอน ตัวอย่างเช่น บทความ New York Times เดือนเมษายน 2025 ระบุว่าแนวทางเศรษฐกิจของทรัมป์อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องจากการบริโภคลดลงเพื่อตอบสนองต่อสงครามการค้าโลก

แต่ชี้ว่าการผ่อนปรนต่อโลกนี้น่าจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะผลระยะยาวอาจกระทบต่อการใช้พลังงานสะอาด เมื่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศติดขัด

ทำนองเดียวกัน บทความ Associated Press เดือนเมษายน 2025 อ้างคำพูดของศ.ร็อบ แจ็กสัน หัวหน้า Global Carbon Project ว่า ภาษีอาจช่วยสภาพภูมิอากาศได้ในหนึ่งหรือสองปีแรกแต่จะมีต้นทุนสูงและอาจย้อนกลับ โดยเขากล่าวว่า

ผมคิดว่าอาจจะช่วยได้ในหนึ่งหรือสองปีแรก หากเรามีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจหรือภาวะถดถอย ซึ่งไม่มีใครต้องการ แต่ระยะยาวจะทำร้ายสภาพภูมิอากาศ เพราะภาษีกระทบเทคโนโลยีสะอาดมากกว่าภาคส่วนอื่น เนื่องจากการค้ากับจีน

การวิเคราะห์ของ Carbon Brief ชี้ว่าผลกระทบต่อการปล่อย แม้ในระยะสั้น ก็มีแนวโน้มจำกัด โดยประเมินผลกระทบจากการลดลงของ GDP โลกจากการเปลี่ยนแปลงประมาณการ GDP ของ IMF, OECD และธนาคารโลก ก่อนและหลังการประกาศภาษี

OECD ประเมินว่าผลกระทบจากภาษีมีขนาดใหญ่ที่สุด

ผลกระทบระยะกลางถึงยาวจากสงครามการค้าของทรัมป์ คาดว่าจะเป็นลบต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ราเชล ไคต์ ทูตด้านสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร กล่าวกับ Carbon Brief ว่า สร้างความไม่แน่นอนและอาจชะลอการลงทุนด้านพลังงานสะอาด

ความลังเลนี้ไม่ได้อยู่แค่ในใจรัฐบาล แต่รวมถึงนักลงทุนและภาคเอกชนด้วย ยุคภาษีเช่นนี้เสี่ยงที่จะทำให้การลงทุนในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดชะลอตัว ในเวลาที่ควรเร่งให้เร็วขึ้น

Carbon Brief ประเมินผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อ GDP โลก โดยเปรียบเทียบการคาดการณ์การเติบโตที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม 2025 โดย IMF (World Economic Outlook), OECD (Economic Outlook) และธนาคารโลก (Global Economic Prospects) กับการคาดการณ์ที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2024 หรือมกราคม 2025 ก่อนการประกาศภาษี

แม้มาตรการภาษีของทรัมป์จะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์เหล่านี้ แต่ถือเป็นปัจจัยเฉพาะและฉับพลัน ซึ่งคาดว่าจะมีผลสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

การวิเคราะห์คำนวณ GDP โลกในปี 2025–2026 โดยใช้การคาดการณ์การเติบโตกับข้อมูล GDP ย้อนหลังจากธนาคารโลก

การลดลงของการเติบโต GDP โลกถูกแปลงเป็นผลกระทบการปล่อย โดยสมมติว่าความเข้มคาร์บอนของเศรษฐกิจโลกยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมีภาษีหรือไม่ ความเข้มคาร์บอนคือการปล่อยต่อหน่วย GDP ซึ่งปรับปรุงมาอย่างช้า ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

การวิเคราะห์พิจารณาเฉพาะการปล่อย CO2 จากเชื้อเพลิงฟอสซิลและการผลิตปูนซีเมนต์ โดยข้อมูลย้อนหลังมาจาก Global Carbon Budget

ช่วงประมาณการผลกระทบ CO2 แตกต่างกันตามการคาดการณ์ GDP ของแต่ละองค์กร เพื่อการเปรียบเทียบ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลกปี 2025 ลงราว 350,000 บาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่ต้นปี เทียบเท่าการลดการปล่อย 40 MtCO2 ในปีนี้

การคาดการณ์ความต้องการถ่านหินโลกในปี 2025 ของ IEA ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยยังคาดว่าจะเติบโต 0.2% ในปีนี้


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.